วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

ประเพณี สาทรเดือนสิบ

ประเพณีวันสารทเดือนสิบ

"วันสารทเดือนสิบ" เป็นการทำบุญกลางเดือนสิบเพื่อนำเครื่องอุปโภคและเครื่องบริโภคไปถวายพระ เป็นการอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษของตน


วัตถุประสงค์
เพื่ออุทิศส่วนบุญแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ภาษาบาลีว่า "เปตชน" ภาษาชาวบ้านว่า "เปรต" ซึ่งหมายถึง ผู้ที่รับความทุกข์ทรมานจากวิบากแห่งบาปกรรมที่ทำไว้ในเมืองมนุษย์ เมื่อตายไปจึงเป็นเปรตตกนรก อดอยากยากแค้น คนข้างหลังจึงต้องทำบุญอุทิศให้ปีละครั้งเป็นการเฉพาะ
ความเชื่อ

พุทธศาสนิกชนเชื่อว่า บรรพบุรุษได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว หากทำความดีไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ จะได้ไปเปิดในสรวงสวรรค์ แต่หากทำความชั่วจะตกนรกกลายเป็นเปรต ต้องทุกข์ทรมานในอเวจี ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานอุทิศกุศลไปให้ในแต่ละปีมายังชีพ ดังนั้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 คนบาปทั้งหลายที่เรียกว่าเปรตจึงถูกปล่อยตัวกลับมายังโลกมนุษย์ เพื่อมาขอส่วนบุญจากลูกหลาน แล้วจะกลับไปนรกในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10

ขั้นตอนการจัดหมรับ
การจัดหมรับ (หรือ สำรับ) มักจะจัดขั้นตอนการจัดหมรับเฉพาะครอบครัว หรือจัดร่วมกันในหมู่ญาติ และจัดเป็นกลุ่ม ภาชนะที่ใช้จัดหมรับใช้กระบุงหรือเข่งสานด้วยตอกไม้ไผ่
การจัดหมรับ คือ การบรรจุและประดับด้วยสิ่งของ อาหารขนมเดือนสิบลงภายในภาชนะที่เตรียมไว้เป็นชั้นๆ ดังนี้
1. ชั้นล่างสุด จัดบรรจุสิ่งของประเภทอาหารแห้งลงไว้ก้นภาชนะ
2. ชั้นที่สอง บรรจุอาหารประเภท พืช ผัก ที่เก็บได้นาน ใส่ขึ้นมาจากชั้นล่างสุด
3. ชั้นที่สาม จัดบรรจุสิ่งของประเภทของใช้ในชีวิตประจำวัน
4. ชั้นที่สี่ ใช้บรรจุและประดับประดาด้วยขนมอันเป็นสัญลักษณ์ของสารทเดือนสิบเป็นหัวใจของหมรับ ได้แก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมกง(ขนมไข่ปลา) ขนมบ้า ขนมดีซัม ขนมเหล่านี้มีความหมายในการทำบุญเดือนสิบซึ่งขาดเสียมิได้เพื่อให้บรรพบุรุษและผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้นำไปใช้ประโยชน์
การยกหมรับ

วันแรม 15 ค่ำ ชาวบ้านจะนำหมรับที่จัดเตรียมไว้ ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลที่วัดโดยเลือกวัดที่ใกล้บ้านหรือวัดที่บรรพบุรุษของตนนิยม และนำภัตตาหารไปถวายพระด้วย วันนี้เรียกว่า "วันยกหมรับ"
การฉลองหมรับและการบังสุกุล

วันแรม 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันสารทเรียกว่า "วันฉลองหมรับ" มีการทำบุญเลี้ยงพระและบังสุกุล การทำบุญวันนี้เป็นการส่งบรรพบุรุษและญาติพี่น้องให้กลับไปเมืองนรก นับเป็นสำคัญยิ่งวันหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่าหากไม่ได้ทำพิธีกรรมในวันนี้บรรพบุรุษและญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วจะไม่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลทำให้เกิดทุกขเวทนาด้วยความอดยาก ลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กลายเป็นคนอกตัญญูไป

การตั้งเปรตและการชิงเปรต
เสร็จจากการฉลองหมรับและถวายภัตตาหารแล้ว ก็นิยมนำขนมอีกส่วนหนึ่งไปวางไว้ที่ลานวัด โคนไม้ใหญ่ หรือกำแพงวัด เรียกว่า "ตั้งเปรต" เป็นการแผ่ส่วนกุศุลให้เป็นสาธารณทานแก่ผู้ที่ล่วงลับที่ไม่มีญาติหรือญาติไม่ได้มาร่วมทำบุญให้ เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ชาวบ้านก็จะแย่งชิงขนมที่ตั้งเปรตไว้ เรียกว่า"ชิงเปรต" ถือว่าผู้ที่ได้กินขนมจะได้บุญ


การปฎิบัติตามประเพณีสารทเดือนสิบ


* ช่องของการทำบุญเดือนสิบ จะมีวันที่ถูกกำหนดเพื่อดำเนินการเรื่อง “หฺมฺรับ” อยู่หลายวัน และจะมีชื่อเรียกแตกต่างกัน กล่าวคือ


o วันหฺมฺรับเล็ก ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำเดือนสิบ เชื่อกันว่าเป็นวันแรกที่วิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้รับอนุญาต ให้กลับมาเยี่ยมลูกหลาน ซึ่งลูกหลานจะจัดสำหรับอาหารคาวหวานไปทำบุญที่วัด เป็นการต้อนรับ บางท้องถิ่นเรียกวันนี้ว่า “วันรับตายาย”


o วันจ่าย ตรงกับวันแรม ๑๓ ค่ำเดือนสิบ เป็นวันที่คนนครต้องตระเตรียมข้าวของสำหรับจัดหฺมฺรับ โดยไปตลาดเพื่อจัดจ่ายข้าวของเป็นการพิเศษกว่าวันอื่นๆ


o วันยกหฺมฺรับ ตรงกับวันแรม ๑๔ค่ำเดือนสิบ เป็นวันที่ลูกหลานร่วมกันแบกหาม หรือ ทูนหฺมฺรับที่จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ไปถวายพระที่วัด อาจจะรวมกลุ่มคนบ้านไกล้เรือนเคียงไปเป็นกลุ่มตามธรรมชาติ หรือบางทีอาจจะจัดเป็นขบวนแห่เพื่อความคึกคักสนุกสนานก็ได้


o วันหฺมฺรับใหญ่ หรือวันหลองหฺมฺรับ ตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำเดือนสิบ เป็นวันที่นำอาหารคาวหวานไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัดครั้งใหญ่ ทำพิธีบังสุกุล อุทิศส่วนกุศลให้บรรพชน และตั้งเปรตเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้วิญญาณที่ไม่มีลูกหลานมาทำบุญให้ ขณะเดียวกันก็ทำพิธีฉลองสมโภชหฺมฺรับที่ยกมา


o การจัดหฺมฺรับ ส่วน ใหญ่การจัดหฺมฺรับ ส่วนใหญ่จะใช้ของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน เพราะสะดวกในการจัดเก็บและรักษา โดยนิยมจัดในภาชนะกระบุง กะละมัง ถัง ถาด วิธีจัดจะใส่ข้าวสารรองชั้นล่าง ตามด้วยเรื่องปรุงพวกของแห้งที่ใช้ในครัว ชั้นถัดมาเป็นพวกอาหารแห้ง หยูกยา หมากพลู และของใช้จำเป็นประจำวัน ส่วนหัวใจของหฺมฺรับที่เป็นเอกลักษณ์ขาดไม่ได้มี ๕ อย่าง (บางแห่งมี๖อย่าง) เป็นคติความเชื่อที่ใช้รูปทรง ลักษณะของขนมเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งจำเป็น และควรมีสำหรับเปรต คือ ขนมพอง ขนมลา ขนมบ้า ขนมดีซำ ขนมกง(ไข่ปลา) และลาลอยมัน


สัญลักษณ์ของขนมที่ใช้ในการจัดหฺมฺรับ


* ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทนเรือ แพ ที่บรรพบุรุษใช้ข้ามห้วงมหรรณพ เหตุเพราะขนมพองนั้นแผ่ดังแพมีน้ำหนักเบาย่อมลอยน้ำ และขี่ข้ามได้


* ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทนแพรพรรณ เครื่องนุ่งห่ม เหตุเพราะขนมลามีรูปทรงดังผ้าถักทอ พับ แผ่ เป็นผืนได้


*ขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทนลูกสะบ้า สำหรับใช้เล่นต้อนรับสงกรานต์ เหตุเพราะขนมบ้ามีรูปทรงคล้ายลูกสะบ้า การละเล่นที่นิยมในสมัยก่อน


* ขนมดีซำ เป็นสัญลักษณ์แทนเงิน เบี้ย สำหรับใชัสอย เหตุเพราะรูปทรงของขนมคล้ายเบี้ยหอย


* ขนมกง(ไข่ปลา) เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องปรัดับ เหตุเพราะรูปทรงมีลักษณะคล้ายกำไล แหวน


* ลาลอยมัน เป็นสัญลักษณ์แทนฟูก และหมอน ซึ่งมีในบางท้องถิ่น


การตั้งเปรต


* ใน การทำบุญสารทเดือนสิบ ลูกหลานจะทำขนม หรืออาหารนำไปวางในที่ต่างๆของวัด ตั้งที่ศาลาซึ่งเป็นศาลาสำหรับเปรตทั่วไป และริมกำแพงวัด หรือใต้ต้นไม้ สำหรับเปรตที่ปราศจากญาติ หรือญาติไม่ได้ทำบุญอุทิศให้ หรือมีกรรมไม่สามารถเข้าในวัดได้ พิธีกรรมทำบุญอุทิศส่วนกุศลทำได้โดยการแผ่ส่วนกุศล และกรวดน้ำอุทิศให้ เมื่อเสร็จลูกหลานจะมีการแย่งชิงขนม และอาหารกันที่เรียกว่า “ชิงเปรต”


* การ ชิงเปรต เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นหลังจากการอุทิศส่วนกุศลแก่เปรต โดยมีพระสงฆ์สวดบังสุกุล พอพระชักสายสิญจน์ที่พาดโยงไปยังอาหารที่ตั้งเปรต ลูกหลานก็จะเข้าไปแย่งเอามากิน ซึ่งของที่แย่งมาได้ถือเป็นของเดนชาน การได้กินเดนชานจากวิญญาณบรรพบุรุษ เป็นความเชื่อที่ถือกันว่าเป็นการแสดงความรัก เป็นสิริมงคล และเป็นกุศลสำหรับลูกหลาน

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รักแท้พิสูจน์ได้

วัยและประสบการณ์ทำให้คนมีนิยามของ "รักแท้" แตกต่างกันไป 


  บางคนก็ว่ารักแท้ไม่เคยอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์
  บางคนก็ว่ารักแท้คือรักที่กำลังรักอยู่ยามนี้ 
  บางคนก็ว่ารักแท้หาเอาได้ตามเตียงทุกเตียง

 แต่มีนักจิตวิทยาได้ให้องค์ประกอบของรักแท้สำหรับให้คนพิสูจน์ความรักหนนั้นของตนว่า .. มันเป็นรักแท้ขนานแท้ รักแท้แบบปลอมปน หรือรักแท้ที่ปลอมสนิท

ต้องมีความรู้สึกได้สัมผัสกับความสุขร่วมกับคนๆ นั้น 
เมื่ออยู่ด้วยกันก็จะมีความสุขมาก ไม่เคยเบื่อที่มีเขาอยู่ใกล้ๆและเมื่อยามที่เขาห่างไกลไม่ได้เห็นหน้า ก็จะรู้สึกเหงาๆ และคิดถึง ไม่ใช่พอเขาหันหลังให้ยังเห็นชายเสื้อแว้บๆ ก็แทบจะตีปีกโลดเต้นดีใจ

ต้องให้ความเคารพนับถือคนๆ นั้น 
ถ้าจะรักใครสักคน แล้วตั้งหน้าดูถูกไม่เคยให้ความเคารพ ใครอื่นจะเคารพคนๆ นั้นของเรา > และการที่ได้รักใคร่กับคนที่ใครๆเขาดูถูก มันจะเหลือความภูมิใจในคนๆ > นั้นสำหรับเราได้ยังไง

ต้องรู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นที่พึ่งได้ 
เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิต ก็มั่นใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้าง เพื่อคอยช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าเรากำลังจะตกตึกอยู่รอมร่อ ก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยฉุด

ต้องเชื่อมั่นว่าถ้ามีปัญหาใดๆเกิดขึ้น ไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหนสัมพันธภาพก็ยังคงดำเนินต่อไป 
เพราะคนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้ารู้จักอภัยกันมันก็อยู่กันทน ไม่ใช่ผิดหนเดียวก็ถีบส่ง

ต้องเข้าถึงความต้องการ อารมณ์ และความรู้สึกของคนๆ นั้น 
อย่างถ้ารู้ว่าชอบจะอยู่คนเดียว ตามลำพังบ้าง ก็ควรเปิดโอกาสได้อยู่กับตัวเองด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เปิดโอกาสอย่างกระเง้ากระงอด

ต้องมีความรู้สึกต้องตาต้องใจในสรีระของคนๆ นั้น 
ไม่ว่าจะต้องเสน่ห์ในความเป็นหญิงกำยำ หรือในความล้านจนขึ้นเงาวับบนหัวเขามันก็มีส่วนในความรักเหมือนกัน

ต้องรู้สึกว่าเราสามารถจะพูดคุยกับคนๆ นั้นได้ทุกเรื่องอย่างเปิดอก 
สามารถที่จะขุดความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจขึ้นมาพูดได้ ไม่ใช่ต้องปิดบังความรู้สึกส่วนนั้นไว้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้วเราจะอับอาย หรือไม่ก็กลัวว่าเขาได้ยินแล้วจะผงะหงายแล้วเดินหายไปจากชีวิต

ต้องรู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นของมีค่าในมือ 
ถ้าไม่มีเขาสักคนชีวิตของเราก็สูญของมีค่าไป

ต้องรู้สึกเต็มใจที่มีส่วนร่วมกับคนๆ นั้นในหลายๆ ด้าน 
เป็นต้นว่า ความคิด อารมณ์และเวลา แต่ไม่ใช่ร่วมกับเขาไปหมด จนเขาไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง 
วัยและประสบการณ์ทำให้คนมีนิยามของ "รักแท้" แตกต่างกันไป 

  บางคนก็ว่ารักแท้ไม่เคยอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์
  บางคนก็ว่ารักแท้คือรักที่กำลังรักอยู่ยามนี้ 
  บางคนก็ว่ารักแท้หาเอาได้ตามเตียงทุกเตียง

 แต่มีนักจิตวิทยาได้ให้องค์ประกอบของรักแท้สำหรับให้คนพิสูจน์ความรักหนนั้นของตนว่า .. มันเป็นรักแท้ขนานแท้ รักแท้แบบปลอมปน หรือรักแท้ที่ปลอมสนิท

ต้องมีความรู้สึกได้สัมผัสกับความสุขร่วมกับคนๆ นั้น 
เมื่ออยู่ด้วยกันก็จะมีความสุขมาก ไม่เคยเบื่อที่มีเขาอยู่ใกล้ๆและเมื่อยามที่เขาห่างไกลไม่ได้เห็นหน้า ก็จะรู้สึกเหงาๆ และคิดถึง ไม่ใช่พอเขาหันหลังให้ยังเห็นชายเสื้อแว้บๆ ก็แทบจะตีปีกโลดเต้นดีใจ

ต้องให้ความเคารพนับถือคนๆ นั้น 
ถ้าจะรักใครสักคน แล้วตั้งหน้าดูถูกไม่เคยให้ความเคารพ ใครอื่นจะเคารพคนๆ นั้นของเรา > และการที่ได้รักใคร่กับคนที่ใครๆเขาดูถูก มันจะเหลือความภูมิใจในคนๆ > นั้นสำหรับเราได้ยังไง

ต้องรู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นที่พึ่งได้ 
เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิต ก็มั่นใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้าง เพื่อคอยช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าเรากำลังจะตกตึกอยู่รอมร่อ ก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยฉุด

ต้องเชื่อมั่นว่าถ้ามีปัญหาใดๆเกิดขึ้น ไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหนสัมพันธภาพก็ยังคงดำเนินต่อไป 
เพราะคนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้ารู้จักอภัยกันมันก็อยู่กันทน ไม่ใช่ผิดหนเดียวก็ถีบส่ง

ต้องเข้าถึงความต้องการ อารมณ์ และความรู้สึกของคนๆ นั้น 
อย่างถ้ารู้ว่าชอบจะอยู่คนเดียว ตามลำพังบ้าง ก็ควรเปิดโอกาสได้อยู่กับตัวเองด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เปิดโอกาสอย่างกระเง้ากระงอด

ต้องมีความรู้สึกต้องตาต้องใจในสรีระของคนๆ นั้น 
ไม่ว่าจะต้องเสน่ห์ในความเป็นหญิงกำยำ หรือในความล้านจนขึ้นเงาวับบนหัวเขามันก็มีส่วนในความรักเหมือนกัน

ต้องรู้สึกว่าเราสามารถจะพูดคุยกับคนๆ นั้นได้ทุกเรื่องอย่างเปิดอก 
สามารถที่จะขุดความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจขึ้นมาพูดได้ ไม่ใช่ต้องปิดบังความรู้สึกส่วนนั้นไว้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้วเราจะอับอาย หรือไม่ก็กลัวว่าเขาได้ยินแล้วจะผงะหงายแล้วเดินหายไปจากชีวิต

ต้องรู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นของมีค่าในมือ 
ถ้าไม่มีเขาสักคนชีวิตของเราก็สูญของมีค่าไป

ต้องรู้สึกเต็มใจที่มีส่วนร่วมกับคนๆ นั้นในหลายๆ ด้าน 
เป็นต้นว่า ความคิด อารมณ์และเวลา แต่ไม่ใช่ร่วมกับเขาไปหมด จนเขาไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง